วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

การคาดการณ์ โควิด 19 (COVID 19) ในปท.ไทย

         ผมได้ติดตามการระบาดของ Covid19ตั้งแต่ปลายกุมภาพันธ์2563 ในเรื่องที่มีความเห็นขัดแย้งกับการคาดการณ์ตัวเลขของผู้ป่วยที่จะมีการระบาดจำนวนสามแสนห้าหมื่นคนถ้าคุมไม่ได้หรือถ้าคุมได้จะลดลงเหลือ20,000 กว่าคนภายในวันที่ 15 เมษายน 2563 จากคำแถลงของกลุ่มแพทย์อดีตคณบดีและคณบดีของโรงเรียนแพทย์นำเสนอต่อนายก จึงทำให้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารโควิด ศบค.เกิดขึ้นรวมทั้งการปิดล็อคประเทศปิดห้างสรรพสินค้าห้างร้านต่างๆรวมทั้งเคอฟิวที่ตามมา


https://www.hfocus.org/content/2020/03/18802
https://news.thaipbs.or.th/content/289799




       ผมมีความเห็นแย้งในเรื่องของตัวเลขมาตลอดโดยคำนวณจากกลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่ายน่าสงสัยที่มีความเสี่ยง( pui )รายวัน และการตรวจในแต่ละวันในช่วงนั้นแค่วันละ 500 ราย มีการเตรียมเทส ใว้วันละ 4-5000 เทส แม้กรมควบคุมโรค จะพยายามเพิ่มเป็น 10000 เทส ต่อว้น ในเวลาต่อมา โอกาสที่จะเพิ่มขึ้นมากพอที่จะตรวจพบคนไข้รายใหม่สะสมถึง 20,000 คนในวันที่ 15เมษายน2563 เป็นไปได้น้อยมาก  เพราะถ้าดูจากปท. อื่น เช่นเยอรมัต้องตรวจสะสมถึง160000เทส ขึ้นไป..ถึงจะพบผู้ป่วยจำนวน 24000คน ซึ่งเมื่อถึงวันที่15เมษายน 2563 ตัวเลขแค่2700+ คนแค่นั้น



เมื่อวันที่ 13เมษายน 2563 ผมคาดการณ์ไว้ว่า
          จากกราฟตรวจเลขผู้ป่วยรายใหม่ลดลงจนเหลือ 0 คนน่าจะประมาณวันที่ 18 เมษายน..ถ้ามีปัจจัยอื่นเช่นคนไทยเดินทางเข้าประเทศป่วยเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ล่าช้าออกไปแต่ผมว่าไม่เกินวันที่ 30 เมษายนนี้นะครับขอดูตัวเลขอีกสัก 1 อาทิตย์หลังจากมีคนไทยเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศสักระยะ

        ประมาณ 1พค.ตัวเลขผป.น่าจะนิ่ง..เป็น0 สักระยะ..อาจมีเพิ่มขึ้นก็น่าจะแค่เลขตัวเดียว...รัฐจะผ่อนปรนให้มีการทำกิจกรรมมากขึ้น..โดยมีการเฝ้าระวังต่อเนื่อง..เศรษฐกิจคงจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 เดือนถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลง






       วันที่ 22เมษายน2563 มีการเปลี่ยนแปลงของความชันเส้นกราฟ เลยต้องคาดการณ์ใหม่
จากแนวโน้มของกราฟขณะนี้ตัวเลขจำนวนผู้ป่วยใหม่รายวันน่าจะมีโอกาสลงมาเป็นเลขตัวเดียวภายในวันที่24-25เมษายนนี้แล้วจะมีโอกาสเห็นจำนวน 0 คนก่อนสิ้นเดือนเมษายนตัวเลขจะนิ่งไปเรื่อยๆอยู่ระดับเลขตัวเดียวมีโอกาสที่จะผ่อนปรนมาตรการ lock down ของแต่ละจังหวัดได้แล้วนะครับหวังว่า ศบค.คงจะเห็นใจประชาชนบ้างนะครับ
      การคำนวณอัตราการเพิ่มหรือลดของการติดเชื้อ การเปลี่ยนแปลงของสโลปมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานะครับไม่ใช่คงที่เสมอไปอาจจะต้องพิจารณาเป็นช่วงเวลาตามเทรนของมัน..แต่ที่ผ่านมาการใช้ตัวเลขอัตราการเพิ่มขึ้นของสโลปของกราฟที่เป็นค่าคงที่แบบexponentialมาคำนวณเลยทำให้เกิดการคาดการณ์ตัวเลขที่มากเกินไปมหาศาล..ต้องใช้ค่าdifferential ของความชันslope มาคิดคำนวณครับในแต่ละช่วงเวลาจะแม่นยำกว่า
    เข้าใจว่าความเห็นของแพทย์มีสองฝ่าย ที่ขัดแย้งกันนะครับ แต่ระยะเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าที่ผ่านมาฝ่ายที่มองในแง่ร้ายเกินไปคาดการณ์ผิดนะครับ
จากการคาดการณ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการระบาดไม่ได้รุนแรงตามที่บอกไว้  การที่ให้ระวังป้องกันไว้ก่อนก็ดีนะครับ แต่ควรทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ข้อมูลที่นำเสนอต้องไม่มีอคติทางความคิดชักนำให้เอนเอียงตามผู้ที่นำเสนอชี้นำ อย่าใช้ความกลัวมาชู่ให้ประชาชนร่วมมือ แต่ใช้ความจริงของเหตุผลที่ถูกต้องอธิบายให้เข้าใจ น่าจะดีกว่านะครับ ถ้าไม่มีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า จะคุมเข้มกันอย่างไรก็ทำไปเถอะครับ แต่นี่ชาวบ้านเดือดร้อน ลำบากกันไปทั่ว  รัฐบาลแบกรับภาระช่วยเหลือต่อไปไม่ไหวหรอกครับ
       จำนวนคนไข้ใหม่สะสมอย่างเดียวอาจจะใช้พิจารณาในการผ่อนปรนการปลดล็อคไม่ได้หรอกครับ..คงต้องดูในกลุ่มผู้ป่วยใหม่ด้วยว่ามีผู้ป่วยอาการหนักต้องรับการรักษาในเตียงผู้ป่วยกี่ราย..อาการเล็กน้อยเพียงแค่กักตัวกี่ราย..พิจารณากับสัดส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ที่จะดูแลเพียงพอหรือไม่..ณ.ตอนนี้เตียงผู้ป่วยยังเหลือเยอะเลยนะครับที่ลองเช็คดูเกือบ 2700 เตียงที่เตรียมไว้..ผู้ป่วยอาการหนักที่รับการดูแลในโรงพยาบาลก็ยังรับไหวอยู่..ถ้าไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจที่กระทบถึงประชากรส่วนใหญ่ผมก็เห็นด้วยครับที่จะใช้ทฤษฎีนี้ตามนั้นเลยแต่ตอนนี้คนทั่วประเทศกำลังจะอดตายแล้วครับ..คงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบปัญหาสาธารณสุขกับคน..จำนวนคนอาจจะถึงแสนคน..กับผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจกับคนจำนวนหลายสิบล้านคนนะครับ..ปท.จะเดินต่อไปไม่ไหว



          เรื่องการระบาดซ้ำไม่ได้เป็น2nd wave..อย่างที่กลัวกัน มันเป็นแค่ วัน2วัน..ก็ลดลงอย่างมาก..ไม่มีระยะเวลาขึ้นลงนานพอที่จะสร้างwaveได้  ลองดูตัวอย่างไต้หวันกับจีนที่เริ่มผ่อนปรนมาตรการนะครับก็ยังมีบางวันที่มีการเพิ่มสูงของคนไข้ไหมขึ้นมาเยอะเหมือนกันแล้วก็ลดลงไปครับไม่ใช่สูงต่อเนื่องกันไปตลอดวันนี้ไม่น่าตกใจหรอกครับว่าจะเป็น2nd wave แต่ถ้าทาง  ศบค.กลัวมากถึงขั้นจะให้มีคนไข้ศูนย์คนติดต่อกัน 14 วันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ  รอดูครับว่าจะโดนชาวบ้านบ่นกันแค่ไหน..ถ้าทำอย่างนั้น ดูจากต่างประเทศแล้วมันก็ไม่ได้รุนแรงเกินการควบคุม ไม่ได้น่ากลัวอะไรจนเกินไป  ผมว่าน่าจะผ่อนผันได้นะครับ ลองรอดู บุรีรัมย์ โมเดลที่เขาจะเปิดเมือง1พค.นำร่องก่อนก็ได้ครับ..

            เข้าใจนะครับที่ทุกคนก็เป็นห่วงตัวเอง ญาติพี่น้องที่อาจจะติดเชื้อcovid19 โชคร้ายอาจถึงตายได้ แต่โอกาสน้อยครับถ้าดูแลสุขอนามัยเป็นอย่างดี ใส่mask รักษาระยะห่างทางสังคม กินร้อนช้อนส่วนตัว แต่อยากให้นึกถึงเพื่อนร่วมชาติคนอื่นที่เดือดร้อนมาก บางรายคิดสั้นถึงกับฆ่าตัวตาย มีจำนวนมากที่ลำบากเขารอโอกาสที่จะกลับมาทำมาหากินได้ ช่วยตัวเองได้อีกครั้ง ไม่ได้หวังพึ่งคนอื่นตลอดไป เราต้องมีสติที่จะอยู่ร่วมกับคนในชาติคนอื่นแบ่งปันทุกข์สุขกันไป ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคระบาดใหม่ในครั้งนี้ เหมือนกับที่เราอยู่กับโรคระบาดอื่นๆมาก่อนหน้านี้ เช่นไข้หวัดใหญ่ โรคหัดฯลฯ การระบาดที่ควบคุมได้ไม่ใช่ต้องกำหนดตัวเลขคนใข้ใหม่เป็น0 แต่เพียงให้จำนวนคนไข้ไม่เพิ่มขึ้นรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น จนบริการสาธารณสุขรองรับไม่่ไหว กดกราฟผู้ป่วยให้ต่ำลงไป ผ่อนปรนให้คนมีอาชีพดำเนินชีวิตเขาต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรี
     


         จากตัวเลขจำนวนผู้ป่วยรายใหม่สูงสุด 188 คนเมื่อวันที่ 22 มีนาคม มีผู้ป่วยที่เข้าข่ายนิยามการเฝ้าระวังโรค (p u i )ได้รับการตรวจ582ราย
ส่วนวันที่ 29 มีนาคมมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 143 รายในขณะที่มีผู้ป่วยที่เข้าข่าย puiที่ได้รับการตรวจเชื้อ1388คน







        แต่ใน 2 วันที่ผ่านมา ศบค.หาผู้ป่วยมาตรวจอย่างบ้าระห่ำ 2,000 กว่าถึง 4000 คน..ตรวจเจอผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้วันละ 7 คน 9 คนเองครับ..อะไรกันนี่





         ศบค. พยายามหาคนไข้ที่เข้าข่ายน่าสงสัยมาตรวจได้จำนวนมาก, มากจนน่าแปลกใจ วันที่ 28เม.ย.  2436 ราย ตรวจเจอ 7คน วันที่29เม.ย. เพิ่มมาเป็น4096 คน เยอะมากๆ ตรวจเจอ 9 คน ช่วงที่ตรวจเจอกันเป็นร้อยๆคน pui หามาตรวจได้ พันกว่าคนเองครับ
ค่าใช้จ่ายในการตรวจอย่างต่ำ3000บาท เห็นว่าเตรียมชุดตรวจสำรองไว้วันละแสนชุด..เสียดายเงินเหมือนกันเอามาช่วยคนอดอยากดีกว่า
        กลัวว่า ศบค.จะใ่ม่ยอมให้จบง่ายๆนะครับ ถ้ายังมุ่งหาตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่อย่างนี้ แทนที่จะดูตัวเลขผป.  ที่มีอาการหนักต้องเข้ารพ.เป็นหลักมากกว่า เพื่อควบคุมไม่ให้มากเกินไปจนรพ. รองรับไม่ไหว  ถ้าไม่มีการระบาดในชุมชน ทุกคนยังร่วมมือป้องกันใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง ตามคำแนะนำ ก็น่าจะพอแล้วครับ
        ตอนนี้การระบาดในชุมชนตัวเลขน้อยลงไปมากแล้วถ้าจะไปตรวจในกลุ่มคลัสเตอร์ใหม่ๆที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อสูงก็ต้องหาให้ดีๆหน่อยนะถึงจะเจอ
ถ้าสุ่มตรวจหลากหลายพื้นที่ก็โอเคแต่ถ้าจงใจจะตรวจให้ได้ตัวเลขผู้ติดเชื้อมากขึ้นแบบจงใจอันนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยนะ
หรือว่าชุดตรวจมันเหลือเยอะเกินไปเห็นว่าจะสำรองไว้วันละเป็นแสน test แต่การตรวจวันหนึ่งผมว่าคงไม่เกิน 2,000 ราย ตัวเลข pui มันน้อยลงไปทุกวัน เสียดายงบนะผมว่าชุดตรวจบวกชุดPPEต้นทุนไม่น่าจะต่ำกว่า 3,000 บาท 100000test ก็ประมาณ 300 ล้านบาทเปลี่ยนเป็นเอาเงินมาแจกจ่ายคนเดือดร้อนตกงานตอนนี้ดีกว่ามั้ง..stockทั้งยารักษาทั้งชุดตรวจคงเหลือเยอะมากเลยนะครับเพราะเชื่อในการคาดการประเมินตัวเลขสูงเกินจริงไปมากมายมหาศาลหรือว่ามีส่วนเงินทอนจากการจัดซื้อจัดหามาหรือเปล่า..เสียดายเงินจัง

          ความกลัวเกิดจากความไม่รู้ถ้ารู้ข้อมูลอย่างแท้จริงโดยปราศจากอคติเราจะไม่กลัวแล้วจะกล้าที่จะแก้ปัญหาเดินไปข้างหน้าได้ครับ

         ในสายตาชาวโลกประเทศไทยมีผลงานที่ดีมากในการจัดการกับโรคโควิดมาได้ครึ่งทางแล้ว..ส่วนที่เหลือที่จะปิดฉากลงอย่างสวยงามคือการฟื้นฟูประเทศเศรษฐกิจพร้อมๆกับการควบคุมมาตรฐานป้องกันการระบาดของโรคได้อย่างดีอยากให้จบสวยๆครับ
          มาตราการป้องกันกันคงต้องทำกันต่อไป แต่การผ่อนคลายให้มีกิจกรรมมากขึ้นแล้วกลัวว่า คนที่มีเชื้อเป็นพาหะไม่มีอาการ จะทำให้เกิดการแพร่เชื้อระบาดในวงกว้าง เป็นไปได้ยากนะครับ ถ้าทุกคน สวมหน้ากาก รักษาระยะห่าง ใช้ของส่วนตัว มันตัดวงจรการระบาดในชุมชน ได้อยู่แล้วครับ อาจจะมีติดเชื้อได้บ้างก็อยู่ในกลุ่มสมาชิกครอบครัวเท่านั้น ไม่ได้เป็นวงกว้างควบคุมได้ครับ ไม่ต้องกังวลเลย
         การคาดการณ์ที่เลวร้ายไว้ก่อน เพื่อเตือนให้เฝ้าระวังกันต่อไป เป็นเรื่องดีครับ ถ้าไม่มีปัญหาเศรฐกิจกระทบคนในวงกว้าง ทำไปเถอะครับ แต่นี่มันต้องพิจารณาในองค์รวมของปท. คนในชาติที่เดือดร้อน และรัฐบาลคงแบกรับภาระชดเชยเยียวยาไปไม่ได้ตลอดหรอกครับ โปรดเชื่อใจประชาชนเถอะครับ ที่ผ่านมาเขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนตัวเลขผป. ใหม่ลดลงไหเยอะแล้ว ลองให้โอกาสพวกเขาสักครั้งเถอะครับ       อย่าตึงเกินไปจนเศรษฐกิจพัง..อย่าผ่อนเกินไปจนตัวเลขผป.ใหม่ สูงจนผป.หนักโรงพยาบาลรองรับไม่ไหวแต่ผมว่าโอกาสเกิดน้อยมากเพราะ ศบค.ขี้กลัวอยู่แล้วคงค่อยๆผ่อนปรนกันไปถ้าเราทำสำเร็จแล้วจะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เป็นตัวอย่างในการจัดการกับปัญหาโควิด..ระดับโลกเหมือนไต้หวันนะครับรอเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างเดียวที่จะยืนยันความสําเร็จนี้




        มีหน่วยงานในองค์กรใหญ่หลายหน่วยงาน แต่ละหน่วยงานต้องการนำเสนอผลงานของตัวเองให้ดีที่สุดเป็นเรื่องดีแต่ถ้าสนใจเฉพาะหน่วยงานของตัวเองอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อหน่วยงานอื่นในองค์กรต่อให้ผลงานดีมากแค่ไหนองค์กรก็คงจะเติบโตได้ยาก
ต้องทำงานกันเป็นทีมนะครับแต่ละหน่วยงานต้องทำงานอย่างบูรณาการให้ผลงานของแต่ละหน่วยงานออกมาดีองค์กรก็จะก้าวไปข้างหน้าได้
       "รักษาคนไม่ใช่รักษาโรค" เป็นคำที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เคยกล่าวใว้ในอดีต รักษาคนไข้ให้หายจากโรคและสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ตามปกติ ไม่ใช่ว่าหายจากโรคอย่างเดียว ต้องคำนึงถึง สภาพครอบครัว อาชึพ ที่มีผลกระทบจากการรักษาคนไข้ด้วย...
        ผมหวังอย่างยิ่งว่า รัฐบาลจะ  "รักษาประเทศไทย ไม่ใช่รักษาแต่โรค  covid ของประเทศ" เพียงอย่างเดียวนะครับ
https://pantip.com/topic/39854014/comment18-1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น