วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2564

การตรวจเชิงรุกปูพรม100%ในกลุ่มแรงงานสมุทรสาคร ควรทำต่อหรือไม่

https://www.matichon.co.th/covid19/news_2546799

 ขอแสดงความเห็นครับ
1.การติดเชื้อในประชากรทั่วไปที่ไม่แสดงอาการเป็นการสร้าง herd immunity ที่ควรจะเป็นในการป้องกันการระบาดระยะยาวแต่ถ้ามีความเสี่ยงที่จะทำให้คนมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอติดเชื้อแล้วมีอาการป่วยหนักถึงขั้นเสียชีวิตจึงเป็นการเสี่ยงเกินไปดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงเป็นตัวเสริมที่เพิ่มเข้ามาในการรับประกันว่าผู้ที่มีความเสี่ยงเมื่อได้รับวัคซีนแล้วจะไม่มีอาการรุนแรงครับ
     ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วก็อาจจะมีการติดเชื้อโดยไม่มีอาการ, ถ้ายังตรวจเชิงรุกต่อ ก็ยังคงเจออยู่ในชุมชนแน่นอนครับ
2.ถ้าเรายังตรวจเชิงรุกแบบไม่จำเป็น เช่นตรวจในสถานการณ์ที่การระบาดไม่รุนแรงในชุมชน,จำนวนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลก็ยังรองรับผู้ป่วยได้สบาย,อัตราการตายก็น้อย แล้วยังมุ่งตรวจในกลุ่มคนแข็งแรงทั่วๆไปโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อบ่งชี้ของการสืบสวนการระบาดใดๆในชุมชนมันจะไม่คุ้มเหนื่อย,สิ้นเปลืองงบประมาณและทำให้การดำเนินกิจการต่างๆในสังคมหยุดชะงักได้เพราะถ้าเกิดเจอผู้ติดเชื้อแล้วทุกคนจะต้องถูกกักตัวเวลา 14 วันอย่างนี้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปไม่ได้หรอกครับ
      หลังจากหมดกลุ่มคนงานสมุทรสาคร 6 -8 หมื่นคน แล้วไม่รู้ว่าเขาจะพยายามตรวจเชิงรุกในพื้นที่ใดอีกโดยส่วนตัวคิดว่าน่าจะพอแล้วนะครับเราสามารถจะประหยัดเงินค่าตรวจนำไปจัดหาวัคซีนมาฉีดให้คนในชุมชนจะดีกว่าราคาก็ถูกกว่าค่าตรวจด้วยครับ

      รายงานสถานการณ์โควิด 29 ธันวาคม 2564



COVID-19 Update – ยอดผู้ติดเชื้อใหม่วันนี้ ( 29 ม.ค. 64) อยู่ที่ 802 ราย
1.จากระบบเฝ้าระวังและบริการสาธารณสุข 89 ราย 
2.คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 692 ราย
3. State quarantine 19 ราย 
4.ผป.เดินทางเข้าปท.ที่ไม่เข้ที่าสถานกักกันโรคอีก 2 ราย
ยอดติดเชื้อสะสม 17,023 ราย 
   วันนี้ยอดผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นพอสมควร, แต่ยอดผู้ติดเชื้อจากการตรวจเชิงรุกในชุมชนลดลงเล็กน้อย(กราฟเส้นสีแขียวสูงขึ้นแต่กราฟเส้นสีแดงลดลงเล็กน้อย), ยอดผู้ติดเชื้อจากการเฝ้าระวังและการบริการทั่วไปเพิ่มขึ้นอีกแล้วครับ(กราฟเส้นสีส้มสูงขึ้น)
     การตรวจเชิงรุกเป็นตัวเลขของคนงานต่างชาติส่วนใหญ่และคนไทยบางส่วนในโรงงานที่ไม่มีอาการแข็งแรงดีครับ(ส่วนใหญ่ที่สมุทรสาคร)ตัวเลขลดลงเล็กน้อย, แต่ส่วนตัวเลขที่ได้จากการเฝ้าระวังและการบริการ(น่าจะเป็นกลุ่มที่เข้าข่าย p u i)เพิ่มขึ้นมากอีกแล้ว  แนวโน้มของกราฟเส้นสีส้มside wayครับ รอดูท่าทีว่าจะขึ้นหรือลงอีกสัก 2-3 วัน
     ตัวเลขในสถานกักกันโรค..ไม่มีผลต่อการระบาดในชุมชนนะครับขอข้ามไปเลย
    โดยรวมสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อจากการเฝ้าระวังและบริการเพิ่มขึ้นมาครับ แสดงว่าการระบาดในชุมชนยังไว้ใจไม่ได้ว่าจะมีแนวโน้มขึ้นหรือลงรอดูต่อไปแต่การตรวจเชิงรุกในจังหวัดสมุทรสาครที่มีการเพิ่มการตรวจเข้มข้นขึ้นจากเดิมวันละ 4-5พันราย,ขึ้นมาเป็นวันละมากกว่า 10,000 รายแล้ว ,ตัวเลขผู้ติดเชื้อจากการตรวจเชิงรุกเริ่มลดลงครับ( เริ่มตรวจปูพรม 100% ในกลุ่มคนงาน 6-7หมื่นคนตรวจวันละหมื่นกว่าคน 4 วันเข้าไปแล้ว )จำนวนที่เจอก็จะลดลงไปเรื่อยๆครับ..ถ้าข้อสันนิษฐานของผมถูกต้องวันพรุ่งนี้ยอดจะต่ำไปเยอะเลยครับรอดูต่อไปอีก 2-3 วันครับ
     ผมยังให้ความสำคัญกับผู้ติดเชื้อจากการเฝ้าระวังและบริการ(ผู้ป่วยpui,)กราฟสีส้มอยู่นะครับมันแสดงถึงการระบาดในชุมชน ตัวเลขเพิ่มมากขึ้นแบบนี้ไม่ค่อยดีครับ, ส่วนการตรวจเชิงรุกมันลดลงเล็กน้อย, มันไม่ได้บอกถึงความรุนแรงของการระบาดในชุมชนสามารถกักกันโรคในโรงงานFQได้อยู่แล้วโดยรวมสถานการณ์วันนี้ผมถือว่าso far so goodนะครับ


วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2564

ชนิดของวัคซีนโควิด อธิบายแบบง่ายๆ

ชนิดของวัคซีนอธิบายแบบง่ายๆ

  • Sinovac วัคซีนเชื้อตายเอาไวรัสทั้งตัวใส่เข้าไปในร่างกายกระตุ้นการสร้างภูมิ 13-29 $ต่อโดส ฉีด 2 ครั้ง
  • Astrazeneca วัคซีนนำเอาไวรัสไข้หวัดธรรมดาในลิงชิมแปนซีมาตัดแต่ง DNA โดยใส mRNAที่สร้างโปรตีนส่วนหนามของโควิดเข้าไปโดยโปรตีนชนิดนี้จะกระตุ้นการสร้างภูมิขึ้นมาโดยที่ตัวไวรัสพาหะไม่มีอันตรายรุนแรงต่อร่างกาย 4-5 $ ต่อโดส ฉีด 2 ครั้ง
  • BioNtech, Moderna วัคซีน mRNAเป็นแค่ส่วนเสี้ยวเดียวของ RNA ที่ใช้ในการสร้างโปรตีนหนามแหลม spike protein ของไวรัสที่มีส่วนกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโดยไม่มีผลอันตรายรุนแรงต่อร่างกาย..และที่สำคัญมันเป็นการสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ไม่ได้ใช้ชิ้นส่วนของไวรัสใดๆเลยฉีดเข้าไปในร่างกาย 

         จะเห็นว่า  Sinovac เป็นวัคซีนเทคโนโบยีเก่า ประสิทธิภาพไม่ได้ดีมากมาย แต่ขายแพงไม่สมราคา ไม่น่าจัดซื้อมาใช้ บุคคลากรการแพทย์จะกล้าฉีดหรือ...สอบถามหมอ พยาบาลหลายคน ส่ายหัว

Sinovac วัคซีนจีน ราคามาถึงไทยออกมาแล้วครับ



Sinovac price

Indonesia Rp 200,000 = 13.57 $..= 408.8 bth

ไทยซื้อราคา 641bth.ขนาด CP ถือหุ้น 15% ของ บริษัทจีน..รับไม่ได้ครับ   เราจ่ายแพงกว่า 614 - 408 = 206 บาท คูณ2ล้าน ก็ตกประมาณ 400 ล้าน บาท เป็นเงินทอน 

     ลองเทียบค่าเงิน 30บาท ต่อ1$

614/30 = 20.47 $ 

Sinovac 2 โดส 41 $

Astrazeneca ราคากลาง4-8 $

คิดประมาณราคาที่ 6 $ ฉีด 2 โดส =12 $

ราคาต่างกัน 41-12= 29 $ เท่ากับ 870 บาท

2ล้านโดส ฉีด2ครั้งต่อคน ได้ฉีด1ล้านคน จำนวนเงินงบประมาณที่ต้องเสียเพิ่มขึ้น  870 ล้านบาท

     คนที่ฉีด Sinovac แล้วเขาจะอนุญาติให้ดำเนินชีวิตปกติได้หรือ โดยไม่ต้องอยู่ในกฎระเบียบการควบคุมโรค..การทำธุรกิจ..เดินทาง..เขาจะปลดlock down ปท.ไหม..ถ้าสถานกาณ์..มันดีขึ้นเขาก็ปลดเอง..ถ้ายังไม่ดี..ถึงฉีดวัคซีีน1ล้านคน..มันก็ต้องlockdown อยู่ดี..

     เรื่องนี้มันผิดปกติตั้งแต่การกลับคำพูด..และยังเร่งดำเนินโครงการที่เร่งด่วนมากๆๆๆ.

     CPเขาไม่สนเงินส่วนต่างแค่นี้หรอก..ไอ้คนกลาง..เดินเรื่องนี้มันได้ไปครับ เขาเรียกเงินทอนหาไอ้คนกลางให้เจอ..CPเขาไม่ผิด..แต่โดนใช้ให้ดิวกับจีน..เขาคงได้แค่ราคาต้นทุน 

ถ้าเทียบราคากับ อินโด ห่างกัน 614-208 = 206 บาท 2ล้านโดส เงินทอนน่าจะมากกว่า  400 ล่าน

 

วัคซีน Sinovac จากจีนมีความจำเป็นเร่งด่วนจริงหรือ

          ราคากลาง วัคซีน Sinovacราคาตั้งแต่ 13.6-29.5 $ , Astrazeneca แค่ 4-8 $ เป็นราคากลางที่เช็คในเวปครับ..ไม่รู้ราคา ที่CP สั่งซื้อมาเท่าไร ใช้เทคโนโลยี่เก่าแล้วยังขายแพง..ไม่สนับสนุนครับถ้าเป็นแบบนี้ผมไม่เห็นด้วยที่จะเอามาใช้แพงเกินคุณภาพที่ควรจะเป็น


          ตอนแรกรัฐบาลก็มีมติที่จะรอวัคซีนจาก แอสตร้าเซนเนก้า..ขนาดโรงพยาบาลเอกชนที่สั่งจองวัคซีนไฟเซอร์ยังถูกเบรกโดยอย.นายกก็มาพูดสนับสนุนว่าต้องรอให้วัคซีนปลอดภัยแน่ใจก่อนถึงจะสั่งเข้ามาฉีด ได้แค่ 2 วันต่อมามั้ง ก็เปลี่ยนคำพูดต้องเร่งจัดหาวัคซีนของบริษัทใดก็ได้เข้ามาฉีดโดยด่วนแล้วก็ทำเรื่องจัดซื้อผ่านทาง CP ดิวกับ จีน เอา Sinovac เข้ามา2ล้านโดส..ทำเรื่องตกลงวางแผนการฉีดวัคซีนเสร็จภายใน 1 อาทิตย์มันเกิดอะไรขึ้นล่ะครับ  มีอะไรฟ้าผ่าลงมาหรือเปล่า..ถ้าวัคซีนราคาถูกผมจะไม่ว่าอะไรเลยแต่นี่  ค่อนข้างแพงเทียบกับเทคโนโลยีเก่าผมว่าไม่คุ้มไม่สนับสนุนครับ  โดยส่วนตัวคิดว่า astrazeneca มีประสิทธิภาพดีกว่าSinovac นิดนึง..ราคาถูกกว่าเกือบ3เท่า..ไม่รู้ว่าราคาที่ไปดิวกับจีนไว้ราคาเท่าไหร่แต่ราคากลางต่ำสุดก็ 13.6 ดอลลาร์เข้าไปแล้ว ตอนนี้สถานการณ์ การระบาดรอบสอง ก็ควบคุมได้ในระดับที่ดีพอสมควร รอกลางปีรับวัคซีนที่ไทยผลิตร่วมกับ AstraZeneca ดีกว่าครับ ใช้เงินงบประมาณ ต้องประหยัดให้มากนะครับ ผมนึกว่าราคาSinovac มันถูก..อุตส่าห์พูดเชียร์ในตอนแรกว่ารัฐบาลครั้งนี้ก็ทำดูดีนะครับแต่พอไปหาข้อมูลจริงๆราคามันไม่ถูกนี่หว่า..รัฐบาลใช้เงินฟุ่มเฟือยมากเกินไปจริงๆกู้มาล้านๆบาท..ใช้ไปเกือบครึ่งนึงแล้ว..ที่เหลือยังใช้ฟุ่มเฟือยกันอย่างนี้อยู่อีกประชาชนเป็นหนี้กันทั้งปีทั้งชาติ

     อีกอย่างหนี่ง คนที่ได้รับการฉีดแล้วจะมีใบรับรองไหม ให้คนที่ฉีดแล้วสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติไหมครับ..ถ้ายังต้องถูกควบคุมเหมือนคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนมันก็ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจอะไรดีขึ้นหรอกครับ ขนาดนี้สถานการณ์ก็ไม่ได้แย่อะไรมากมีแต่จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นสูงแต่อัตราป่วยและตาย,อัตราครองเตียงยังน้อยมากเลยครับเตียงว่างทั่วประเทศน่าจะสัก 2,500 กว่าเตียงมั้ง..ยังไม่รวมกับโรงพยาบาลสนามที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ คงอีกหลายพันเตียงเลยนะครับ    

     มันน่าสงสัยที่ว่าทำไมต้องรีบทำโคงการเร่งด่วนขนาดนี้ จัดหา,จัดซื้อ,เตรียมการ,วางแผนการกระจายวัคซีนเสร็จสรรพภายใน 1 อาทิตย์..อยากรู้เหตุผลจริงๆ 

รายงานสถานการณ์ โควิด 15/1/64





COVID-19 Update – ยอดผู้ติดเชื้อใหม่วันนี้ (15 ม.ค. 64) อยู่ที่ 188 ราย
1.จากระบบเฝ้าระวังและบริการสาธารณสุข 81 ราย 
2.คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 73 ราย
3. State quarantine 21 ราย 
4.ผป.เดินทางเข้าปท.ที่ไม่เข้าสถานกักกันโรคอีก 13 ราย
ยอดติดเชื้อสะสม 11,450 ราย 
   วันนี้ยอดผู้ป่วยรายใหม่และจํานวนผู้ติดเชื้อจากการตรวจเชิงรุกในชุมชนก็ลดลงเยอะทีเดียว(เส้นสีเขียวและเส้นสีแดงลดลงตามกันมา)
จํานวนผู้ติดเชื้อจากการเฝ้าระวังและการบริการทั่วไปตัวเลขเพิ่มขึ้นเล็กน้อยครับ
     ความพยายามในการตรวจเชิงรุกเป็นตัวเลขของคนงานต่างชาติและคนไทยในโรงงานครับ(ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติเป็นคนงานที่สมุทรสาคร)ตัวเลขลดลงไปเยอะคงไม่มีการเพิ่มขึ้นของกลุ่มClusterใหญ่ๆกลุ่มใหม่ที่น่ากลัวแล้วครับ  หมดห่วงไปเยอะเลย    
       ส่วนตัวเลขที่ได้จากการเฝ้าระวังและการบริการ(น่าจะเป็นกลุ่มที่เข้าข่าย p u i คือน่าจะมีอาการมีประวัติเสี่ยงแล้วมาขอรับการตรวจ)กลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแค่ 3คน แสดงว่า การระบาดที่มีผลจากกลุ่มclusterก่อนหน้านี้น่าจะใกล้จบแล้วครับ, ตัวเลขในสถานกักกันโรค..ไม่มีผลต่อการระบาดในชุมชนนะครับขอข้ามไปเลย
     โดยรวมสถานการณ์ผ่อนคลายไปมากทีเดียว รอให้การตรวจเชิงรุกเจอน้อยลงไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เลิกตรวจไปเองละครับ
     น่าจะมีตัวเลขจำนวนผู้ป่วยอาการเล็กน้อย,อาการหนักและอัตราการครองเตียงเพื่อดูความสามารถในการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลต่างๆรองรับได้เพียงพอไหม จะยิ่งทำให้ประชาชนคลายกังวลมากขึ้นนะครับ
     อยากให้เข้าใจตรงกันว่าเราต้องการควบคุมปริมาณคนไข้ไม่ให้สูงเกินไปเกินความสามารถในการรองรับของโรงพยาบาลต่างๆเป็นจุดประสงค์หลักนะครับไม่ใช่มาตรวจหาผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการในชุมชนไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามีการเพิ่มขึ้นของกลุ่มClusterใหญ่ๆขึ้นมา, การตรวจเชิงรุกก็น่าจะมีประโยชน์กับการสอบสวนโรค แต่ถ้ามันไม่มีแล้ว ควรหยุดพักเถอะครับสงสารเจ้าหน้าที่ เขาเหนื่อยล้ามานานหลายวันแล้วเก็บแรงไว้สู้กับเหตุการณ์รุนแรงข้างหน้าดีกว่า..การระบาดรอบ 2 ใกล้จะจบแล้วครับ
     ระมัดระวังใส่หน้ากากรักษาระยะห่างล้างมือด้วยแอลกอฮอล์บ่อยๆหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงนี้โดยไม่จำเป็น..พื้นที่เสียงในกรุงเทพฯยังไม่น่าไว้ใจ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่เสียงแออัดคนก็ดีนะครับ